💡 ทำไมถึงสำคัญ
ดีไซน์เนอร์มักจะมีเสียงที่ "เบา" กว่าตำแหน่งอื่นๆ ทำให้ไม่สามารถสนับสนุน product team ได้ดีเท่าที่ควร
บทความนี้จะพูดถึงวิธีการที่จะทำให้เรา "มีเสียง" ที่ดังพอ เพื่อทำให้ทีมทำงานด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
🙂 ใครควรอ่าน
ดีไซน์เนอร์ที่รู้สึกว่า ตัวเองไม่ได้ถูกรับฟัง → จึงไม่สามารถสร้าง impact ให้แก่ทีมได้
ดีไซน์เนอร์ที่อยากทำงานในระดับที่สูงขึ้น → อยากมี impact มากขึ้น
…
ใน product team นั้น designer เหมือนจะเป็นล่างสุดของห่วงโซ่อาหาร

จินตนาการถึงการทำงานใน product team ของ designer ท่านหนึ่ง
PM กับ Business บอกมาว่าอยากได้อะไร
พอ designer ออกแบบเสร็จก็จะโดนให้เปลี่ยนต่างๆนานา เช่น เรื่องความสวยงาม เรื่อง flow
Business ก็อยากเพิ่มของ (ฟีเจอร์ และ requirement ต่างๆ)
PM กับ Engineer ก็อยากตัดของ (ตาม scope, timeline, และ tech feasibility)
จุดจบของเรื่องคือ สุดท้ายก็ทำ solution ครึ่งกลางๆออกไป
ซึ่งแน่นอนว่า ระหว่างทาง designer จะพยายามให้ความเห็น + negotiate ทุกสิ่งอย่าง แต่สุดท้ายแล้วก็เหมือนจะไม่มีใครฟังอยู่ดี...
แน่นอนว่าพอเจอแบบนี้บ่อยๆเข้า บางคนอาจรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ คิดในใจว่าเราไม่มีพลังเลยรึนี่
ผมอยากจะซ้ำเติมคุณว่า
"ใช่ คุณเข้าใจถูกแล้ว สิ่งที่เราเจอกันนั้นเป็นเรื่องที่ปกติมากๆ"
ซึมซับเข้าไปแต่อย่าพึ่งโกรธโลก
เรามาดูกันดีกว่าว่าทำไม
** อยากบอกว่าหลายบริษัทก็มี dynamic ในการทำงานร่วมกันที่ดีมากๆ จนไม่มีปัญหาลักษณะนี้แล้ว – แต่สำหรับบางคนที่ยังเจอเหตุการณ์แบบนี้อยู่ เราในฐานะ designer ต้องรู้จักพัฒนาตัวเองให้สถานการณ์ดีขึ้น!
…
🤔 ทำไม Business, PM, Engineers ถึงมี "เสียง"

เหมือนซูเปอร์ฮีโร่ → "พลัง(เสียง)ที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อม กับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง"
ซึ่งความรับผิดชอบที่เกิดขึ้นในบริษัทนั้น จะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่การรวมๆกันของ 3 อย่าง
ความสามารถในการทำเงิน
ความจับต้องได้ของผลงาน
การมีทักษะที่คนอื่นไม่มี
แน่นอนว่าทุกคน ทุกตำแหน่ง ย่อมมี 3 อย่างนี้รวมๆกันไป แต่ว่าบทความนี้จะขอพูดแบบเหมารวมประมาณนึง เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายหน่อย
💼 Business + PM – "เสียง" ที่มากับ "ความสามารถในการทำเงิน"
Business กับ PM มักจะอยู่ใกล้กับ "เงิน" เป็นพิเศษ
Business มี KPI เป็นรายได้ หรือ กำไร ฯลฯ → ความสามารถในการทำเงิน
PM มี KPI เป็น metric ต่างๆ เช่น จำนวน user หรือ MAU แถมด้วย commitment ที่ต้องสร้างของใดๆ → ความสามารถในการทำเงิน + ผลงานที่จับต้องได้
ทั้งคู่มีคอพาดอยู่บนเขียง (รับผิดชอบเต็มๆ) ก็เลยได้มีเสียงที่ดังมาก (เป็นพลังที่ top management + investor มอบมาให้) จึงมักเป็นผู้ตัดสินใจแล้วให้ตำแหน่งอื่นๆทำตาม
🛠 Engineer – "เสียง" ที่มากับ "การมีทักษะที่คนอื่นไม่มี"
Engineer เป็นคนที่ผลงานจับต้องได้ที่สุด คือ เป็นคนลงมือสร้าง solution (งานเสร็จไม่เสร็จ ดีไม่ดี ทุกคนจะเห็นได้ชัดเจน)
Engineer ยังมีทักษะ tech expertise ที่ตำแหน่งอื่นๆต้องพึ่งพา
ให้ความเห็นเรื่อง tech feasibility – solution สามารถทำได้มั้ย
ให้ความเห็นเรื่อง effort – ใช้เวลาในการทำนานมั้ย
Engineer จึงเป็นตำแหน่งสำคัญสุดๆในการสร้าง solution ให้เกิดขึ้น จึงมักเป็นผู้นำการตัดสินสิ่งที่อยู่ใน solution space (โดยเฉพาะ detail ลึกๆต่างๆ)
…
แล้วทำไม designer เสียงเบา?

อย่างที่เรารู้กัน งานของ designer นั้นมีประโยชน์นะ!
เราทำ research/testing เราจะรู้ว่า solution นี้ดีมั้ย → ช่วยประหยัดเงินให้กับบริษัท (ไม่สร้างสิ่งที่ไม่จำเป็น)
เราออกแบบ solution ที่เหมาะกับลูกค้า → ทำให้ลูกค้าพึงพอใจ กลับมาใช้บ่อยๆ → ช่วยทำเงินกับบริษัท
แม้ metric จะมีความคล้ายกับ PM/Business แต่เรากลับไม่ได้เสียงดังเหมือนเขา?
เราไม่ได้เป็นคนรับผิดชอบโดยตรง
คือถ้า solution ไม่ดี → business กับ PM ต้องรับหน้าไป → เขาต้องคุยกับ stakeholder + management ใดๆ ไม่ใช่เราโดยตรง
เราการันตีไม่ได้ว่า สิ่งที่เราออกแบบมาจะปัง
แม้ว่าเราจะ research มากขนาดไหน, test ขนาดไหน, หรือออกแบบให้สวยใช้ง่ายขนาดไหน → เราก็ไม่รู้ว่าจะปังมั้ย(จะทำเงินมั้ย) จนกว่าจะปล่อยออกไปจริง
เราสร้าง deliverable ที่อยู่กลางทาง
เราสร้างสิ่งที่ลูกค้าจริงจะไม่ได้เห็น แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทางเฉยๆ ไม่ว่าจะเป็น
research ที่สุดละเอียด
concept ของ feature ที่ดี
UI บน Figma ที่สวย
prototype ที่ดู real
การที่ solution จะเสร็จให้ลูกค้าได้จริง เราต้องพึ่ง engineers ไปทำต่ออยู่ดี
ทักษะของเรามัน(เหมือน)เข้าถึงง่าย
ไม่ใช่ว่าทุกตำแหน่งจะทำงาน designer ได้ (โดยเฉพาะทำให้ดี) แต่ต้องยอมรับว่าทุกคนสามารถ comment งานเราได้ ไม่ว่าจะเป็น
ผล research
ความง่ายในการใช้งาน
ความสวยงาม
ต่างกับ engineers ที่มี tech expertise ลึกๆที่คนส่วนใหญ่เข้าไม่ถึง
…
‼️ สรุปคือ designer ทำงานที่สำคัญ แต่ว่าไม่ได้มีความรับผิดชอบสูงเท่าตำแหน่งอื่นๆ = "เสียงไม่ดัง"
designer เป็นตำแหน่งที่สำคัญ และมี impact มากๆ (ไม่ต่างจากตำแหน่งอื่นใน product team)
ในขณะเดียวกัน ตำแหน่งอื่นๆก็สำคัญเช่นกัน และมีความรับผิดชอบที่มากกว่าเรา → ทำให้เขา "เสียงดัง" ไปตามกลไกของบริษัท (ในอีกนัยนึงก็คือ มี authority มากกว่า)
แต่ "เสียงไม่ดัง" ก็ไม่ใช่ permanent state → เราสามารถฝึกให้ตัวเองเสียงดังขึ้นเรื่อยๆได้
…
ทำยังไงให้ designer เสียงดังขึ้น
การทำให้เราเสียงดังขึ้นมันเป็น long game คือ ใช้เวลา และ ต้องทำตลอดชีวิตการทำงานของเรา
แก่นของเสียงที่ดัง มาจาก ความสัมพันธ์และการทำงานร่วมกันที่ดี โดยสามารถทำได้ตามนี้
ห้ามดราม่า
เข้าใจคนอื่น และสื่อสารให้เหมาะ
ทำให้ทุกคนทำงานกันง่าย
…
1. ห้ามดราม่า

พอเสียงไม่ดัง หลายคนอาจจะดราม่าโดยไม่รู้ตัว เช่น
aggressive / protective เมื่อทำงานร่วมกับคนอื่น
gossip กับเพื่อนของเรา ถึงความไม่ดีของบุคคลหรือบริษัท
"ทำตามสั่งไปวันๆ" ไม่พยายามรับผิดชอบร่วม (เป็นแบบว่าดราม่าเงียบ)
มองว่าตัวเองเป็นเหยื่อตลอดเวลา
เราอาจมีอาการเหล่านั้นบ้าง (เราเป็นคน!) แต่ต้องฉุกคิดว่าเราเป็นบ่อยขนาดไหน
ที่สำคัญ ดราม่า เป็นอะไรที่เผลอทำได้บ่อยๆ แต่ว่ามักมีผลกระทบภายหลังที่รุนแรง
aggressive + gossip → สร้างความอึดอัด เพื่อไม่อยากทำงานด้วย เกิดการเมือง
ทำตามสั่ง → งานไม่ดีต้องกลับมาแก้ + ผลงานเราไม่ดี (มีผลกับการประเมิน และ portfolio เราเวลาจะไปสมัครงานในอนาคต)
มองว่าตัวเองเป็นเหยื่อ → burnout อยากลาออกไปทำงานอย่างอื่น
ดังนั้นขั้นแรกสุดต้องเลิกดราม่าก่อน จินตนาการว่าเรากำลังสูดหายใจลึกๆ เซฟแรงไว้รอปล่อยพลังเสียง
…
2. เข้าใจคนอื่น และสื่อสารให้เหมาะ

Designer ต้อง "พึ่ง" คนอื่นในการสร้าง impact
พึ่ง Business, PM ในการตัดสินใจทำของ
พึ่ง Engineers ในการลงมือสร้างของ
ซึ่ง "พึ่ง" ไม่ใช่ depend on แต่ว่าเป็น collaboration เพื่อสร้าง impact ร่วมกัน ดังนั้นการเข้าใจกันเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุด
ถ้าจะ collab กับใครให้ดี เราควรคำนึงถึงสามอย่าง
คนนั้นเขาแคร์อะไร (KPI)
คนนั้นเขารับผิดชอบอะไร (Responsibility)
คนนั้นเขาทำงานแบบไหน (Expertise & working style)
ตรงนี้ผมเลือกใช้คำว่า "คน" แทนคำว่า "ตำแหน่ง" เพราะว่าแม้จะตำแหน่งเดียวกันก็อาจจะมีวิธีการทำงานที่ต่างกันได้
💼 ตัวอย่างทำงานกับ Business/ PM ท่านหนึ่ง
แคร์: เงิน, จำนวน user, timeline, หน้าตาบริษัท
หน้าที่: จัดการ stakeholder
วิธีการทำงาน: เห็นภาพใหญ่ พูดเก่ง ขายเก่ง ชอบคุย
เวลาทำงานด้วย เราอาจจะลอง:
แคร์จำนวน user → ทำ Testing มาก่อนแล้ว frame ในมุมของลูกค้า เช่น drop off ของลูกค้าจะลดลง XX%
ต้องจัดการ stakeholder → พยายามเข้าใจว่า stakeholder ของเขาต้องการอะไร และนำมาประกอบใน solution ถ้าเป็นไปได้ (การที่เขาต้องรับหน้าคนอื่น คือ มีความเครียดสูงมากนะ)
ชอบคุย + ชอบภาพใหญ่ → เราลง detail ที่พอเหมาะเวลาคุยกะเค้า, เราช่วยถามคำถามเพื่อให้งานชัดเจน, เราช่วยเค้าสรุปประเด็นเวลาประชุมกัน,
🛠 ตัวอย่างทำงานกับ Engineer ท่านหนึ่ง
แคร์: ทำงานได้อย่างมีระบบ มีประสิทธิภาพ
หน้าที่: ทำงานให้เสร็จทัน release, ทำสิ่งที่มีคุณภาพเพื่อ maintain ได้
วิธีการทำงาน: logical, ลงรายละเอียด, Technical ลึก, พูดน้อย
เวลาทำงานด้วย เราอาจจะลอง:
อยากทำงานเร็ว → มี Framework อะไรที่เขาใช้อยู่ หรือสามารถใช้ได้ เพื่อลดเวลาการทำมั้ย?
Logical → คิด solution อย่างเป็นระบบ สามารถอธิบายที่มาที่ไปได้
ทำงานที่มีคุณภาพ maintain ง่าย → เข้าใจว่า business road map ต่อ solution นี้เป็นยังไง + พูดถึงเคสต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต, ใช้ reusable component เยอะๆ
Techinical ลึก → เมื่อเราไม่เข้าใจ ขอให้เค้าอธิบายและตั้งใจฟัง (อย่าลืมขอบคุณเค้าด้วย!)
ลงรายละเอียด → ช่วยกันทำเคส แตกเคส ออกมาให้เห็นภาพรวม, ทำ error state, empty state ต่างๆ
พอเราเข้าใจคนอื่น → เราจะสามารถสื่อสารกับคนอื่นง่าย → ทำให้ความสัมพันธ์โดยรวมดีขึ้น → มีการรับฟังกันมากขึ้นแบบมวลรวม
…
ทำให้ทุกคนทำงานกันง่าย

ในทุกๆ interaction ที่เกิดขึ้นในที่ทำงาน เราควรปฏิบัติด้วย goal
ทำยังไงให้ตำแหน่งอื่นๆทำงานได้ง่ายขึ้น
ทำยังไงให้ product / บริษัท ของเราประสบความสำเร็จ
🤲 ช่วย facilitate ให้กับทีม
designer มักจะไม่ได้รู้ดีที่สุด แต่มักจะ empathize คนอื่นได้ดีที่สุด จึงทำให้เราเข้าใจทุกคนและสถานการณ์ที่เราอยู่ได้ง่ายๆ
เราสามารถค่อยๆเพิ่มเสียงของเราได้ ผ่านการช่วยทีม:
แปลภาษาเวลาที่คนในทีมเข้าใจไม่ตรงกัน
ช่วยถามคำถามในมุมมองคนที่ไม่รู้ context มาก่อน
ย้ำข้อมูลสำคัญ ว่าใครต้องการอะไร (เช่น KPI, problem, solution, next action ต่างๆ)
🍌 ทำให้ design ย่อยง่าย
ทุกครั้งที่เราจะสื่อสารอะไร ให้พยายามอธิบายชัดเจนว่า → เราทำอะไร,ใช้ทักษะ design อะไร, ช่วยให้ทีมบรรลุ goal อย่างไร เช่น
เราเลือกจะทำปุ่มไซส์ใหญ่ในตำแหน่งนี้
เพราะว่าปุ่มที่ใหญ่และใกล้ user จะทำให้เขา take action ง่ายกว่า (Fitt's law)
เราคาดหวัง user จะ signup มากขึ้น
ตอนพูดถึงอะไรเกี่ยวกับ design อย่าลืมปรับคำให้ง่าย กระชับ ใช้เวลาน้อย เพื่อให้คนรอบข้างเก๊ทง่ายๆ พอคนเริ่มสนใจค่อยปรับให้มันเข้ม + มากขึ้น
🙇🏻♂️ ยอมรับและทำเต็มที่
สุดท้ายแล้วไม่ว่าเราจะพยายามแค่ไหน เราก็ไม่ใช่คนที่มีอำนาจในการตัดสิน แต่เป็นแค่คนให้ความเห็นหนึ่งคน
สิ่งที่ควรคิดเสมอคือ
ทีมควร execute ไอเดียที่ดีที่สุด (ซึ่งอาจไม่ใช่ไอเดียเรา หรือไอเดียเราเป็นส่วนเล็กในนั้นก็ได้)
คนอื่นอาจจะมีมุมมองที่เราคิดไม่ถึง หรือไม่เข้าใจก็ได้
เราควร commit ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร แล้วลงมือเต็มที่
ที่สำคัญคือ ถ้าไอเดียไม่สำเร็จเท่าที่ควรห้ามพูดว่า "เห็นมั้ย..." หรือ "บอกแล้ว..." เด็ดขาด!
ท่องไว้ว่าทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน คือทำงานที่ดีออกมา (บริษัทจะได้ทำเงิน → มาเงินจ่ายเงินเดือนเรา 😂)
....
สิ่งเหล่านี้เป็น long game ที่ต้องทำตลอดชีวิตของดีไซน์เนอร์... อาจจะสำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง แต่ว่าสถานการณ์จะดีขึ้นเรื่อยๆแน่นอน
เหมือนกับเปล่งเสียงเรื่อยๆ กล่องเสียงเราจะแข็งแรง จนจุดหนึ่งเสียงเราจะดังเองพอให้คนอื่นๆได้ยินเอง
…
สรุป

ในการทำงานใน product team นั้น ดีไซน์เนอร์มักจะเสียงไม่ค่อยดังเมื่อเทียบกับตำแหน่งอื่นๆ ซึ่งแม้จะรู้สึกแย่ แต่มันก็เป็นไปตามหน้าที่และความรับผิดชอบ (ตามกลไกบริษัท)
แต่การที่ "เสียงไม่ดัง" ก็ไม่ได้แปลว่าเรา"ไม่มีพลัง" เพราะทักษะของเราเป็นปัจจัยสำคัญอันนึง ที่จะทำให้ทีมประสบความสำเร็จ
ถ้าทีมไม่ได้ยินเสียงเรา อย่ารู้สึกแย่ แต่จงยอมรับในสถานการณ์ แล้วค่อยๆสร้างเสียงของตัวเองให้ดังขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ดราม่า เข้าใจและยอมรับคนอื่น ทำให้ทุกคนทำงานกันง่าย
วันนึงเสียงเราจะดังจนทุกคนฟัง และเรียกร้องจะฟังจากเรา
…
💡 Key takeaway
ดีไซน์เนอร์มักไม่ค่อยมีเสียงใน product team
ที่ไม่มีเสียงเพราะความรับผิดชอบของดีไซน์เนอร์นั้นต่ำ เมื่อเทียบกับตำแหน่งอื่น
เป็นหน้าที่ของดีไซน์เนอร์ที่จะต้องสร้างเสียงตัวเองให้ดังขึ้น
คิดเสมอว่า ห้ามดราม่า เพราะจะทำให้ทุกอย่างแย่ลง
พยายามทำความเข้าใจตำแหน่งอื่นๆ และสื่อสารในมุมที่คนเหล่านั้นเข้าใจ
พยายามให้คนรอบข้างทำงานง่าย ด้วยการ facilitate, ทำให้ design ย่อยง่ายขึ้น, ยอมรับในการตัดสินใจและทำให้เต็มที่
การสร้าง "เสียง" ใช้เวลา ต้องคอยทดลอง และทำไปเรื่อยๆอย่างไม่รู้จบ







