Learning how to learn: วิธีสร้าง "โกดังความรู้ระดับเทพ"

เรียบเรียงความรู้จากคอร์ส Learning how to learn เช่น การทำงานของสมอง, กลไกของความฉลาด, วิธีการเรียนรู้ที่ถูกต้อง (ไม่เหนื่อยและได้ผลเยอะ)

28 พ.ค. 2566

เมื่อพูดถึงคำว่า"คนฉลาด" เรามักจะนึกถึงคนที่

  • ทำงานเร็ว

  • เรียนรู้สิ่งใหม่เร็ว

  • คิดถึงสิ่งที่คนอื่นคิดไม่ถึง

บทความนี้จะอธิบายว่า "กลไกของความฉลาด" เป็นยังไง

สำคัญกว่านั้นคือ เราก็ฉลาดได้ → แค่เข้าใจวิธีการ และลงมือทำแบบถูกต้อง

เนื้อหาในบทความนี้

  • การทำงานของสมอง

  • กลไกของความฉลาด

  • วิธีการเรียนรู้ที่ถูกต้อง (ไม่เหนื่อยและได้ผลเยอะ)

*ต้นทางของข้อมูลมาจาก คอร์ส Learning how to learn ซึ่งเป็นคอร์สฟรีใน Coursera → โดยบทความนี้จะไม่ได้สรุปเนื้อหา แต่ว่านำเนื้อหาบางส่วนที่ผมรู้สึก inspired มาเรียบเรียงใหม่ครับ*

...

การทำงานของสมอง

สมองเราเป็น "โกดังข้อมูล" ที่มี "พนักงานดูแล"

เมื่อเราต้องการข้อมูล → เราไปที่โต๊ะพนักงาน → บอกพนักงานว่าอยากได้อะไร → พนักงานไปเอาข้อมูลมาวางให้บนโต๊ะ → เราดูข้อมูลเหล่านั้น

  • พนักงาน = กลไกของสมองในการดึงข้อมูลมาใช้

  • โต๊ะ = ความจำเพื่อใช้งาน (Working memory)

  • โกดังเก็บข้อมูล =ความทรงจำระยะยาว (Long term memory)

โต๊ะพนักงาน (Working memory)

  • พื้นที่ที่เราสามารถใช้ข้อมูลได้

  • มีพื้นที่จำกัด

โกดัง (Longterm memory)

  • เราใช้ข้อมูลตรงนี้โดยตรงไม่ได้

  • เราให้พนักงานไปหยิบข้อมูลให้เราได้

  • มีพื้นที่กว้าง เก็บข้อมูลได้เยอะ

ความฉลาดเกิดจาก (1) มีข้อมูลที่ดีอยู่ในโกดัง (2) พนักงานหยิบมาให้บนโต๊ะได้อย่างรวดเร็ว

...

สมองมี 2 โหมด: ตั้งใจ / ปล่อยไหล

สมองมี 2 โหมด

  • Focus = จดจ่อตั้งใจ

  • Diffuse = ชิวๆปล่อยไหลไปเรื่อย

ซึ่งเราจะเปิดได้ทีละโหมดเท่านั้น เปิดพร้อมกันไม่ได้!

Focus mode

โหมดนี้เกิดเมื่อเราตั้งใจทำงาน → กลไกในสมองคือ เราสั่งพนักงานด้วยเสียงเคร่งขรึม ชัดเจนว่าเราต้องการอะไร

พนักงานจะตั้งใจ และรีบดึงข้อมูลที่เราถนัดออกมาใช้ได้ได้อย่างรวดเร็ว → เหมาะแก่การทำงาน + แก้ไขปัญหาตรงหน้าให้เสร็จได้อย่างรวดเร็ว

เน้นว่าโหมดนี้จะใช้ "ข้อมูลที่เราถนัด" เท่านั้น ถ้าเจอโจทย์ที่ยากเกินกว่าความถนัดของเรา เช่น ปัญหาใหม่ๆที่ซับซ้อน โหมดนี้ก็จะคิดไม่ออก → เราควรใช้สมองอีกโหมดแทน

Diffuse mode

โหมดนี้เกิดเมื่อเราผ่อนคลาย (ไม่ได้คิดเรื่องงาน - เช่น พักผ่อน อาบน้ำ เดินเล่น นั่งรถเล่น ) → กลไกในสมองคือ เราเปรยถึงปัญหาเราให้พนักงาน แต่ก็ไม่ได้บอกชัดว่าต้องการอะไร

ในโหมด Diffuse = พนักงานฟังเสร็จ ก็จะชอบไปเดินเล่นทั่วโกดัง และอาจจะเจอข้อมูลสำคัญหรือจุดเชื่อมโยงใหม่ๆมาแก้ปัญหา → เหมาะแก่การคิด/แก้ปัญหาที่ซับซ้อนที่เราคิดไม่ออก + การสร้างไอเดียอะไรใหม่ๆ

ตรงนี้ค่อนข้างว้าว! เพราะว่าเราไม่ได้พยายามคิด (จินตนาการเรานั่งเหม่อๆ หรือกำลังเดินทอดน่องในสวนลุม) แต่ว่าในสมองกลับทำงานอยู่แบบไม่รู้ตัว

ซึ่งก็มีคนเก่งๆบางคนก็ใช้กัน

  • Thomas Edison (คนคิดค้นหลอดไฟ) → นั่ง/นอนผ่อนคลายโดยถือลูกบอลไว้ในมือ → เข้า Diffuse mode → พอเผลอหลับบอลก็ตกพื้น → ตื่น → มีไอเดียเพิ่ม → ทำงานต่อ

  • Salvador Dali (ศิลปินที่วาดภาพนาฬิกาเหลว + เป็นหน้ากากในเรื่อง Money Heist) ทำคล้ายๆคนข้างบน แต่ว่าใช้กุญแจแทน

(จริงๆที่เค้าทำกันเพราะเรื่องประหยัดเวลานอน... แต่ได้ diffuse mode มาเป็นของแถมเฉยเลย)

คนฉลาดใช้สองโหมดเสริมกัน

คนฉลาด = คนสลับ mode ได้ดี = ดึงความรู้จากทุกซอบหลืบในโกดังออกมาใช้งานได้ตามสถานการณ์

แต่ key คือ คนฉลาดต้องมีความรู้ในโกดังที่มากพอด้วย → เรามาดูวิธีการทำงานของโกดังกัน

...

โกดังความรู้ = มีพนักงานในการใส่ข้อมูล + มีแม่บ้านในการทำความสะอาด

การใส่ความรู้เข้าโกดัง = การเรียนรู้ = กลไกของสมองที่เปลี่ยนจาก "ข้อมูลที่กระจัดกระจาย" ให้กลายเป็น "ก้อนความรู้" ไว้เก็บในโกดัง

จินตนาการว่าพนักงานมาจัดข้อมูล → โดยก้อนความรู้จะถูกเก็บไว้ ส่วนข้อมูลไม่สำคัญก็จะถูกแยกออกมาเพื่อรอไปทิ้งในตอนกลางคืน

ในตอนกลางคืน "แม่บ้าน" จะมาทำความสะอาดโกดังให้

แม่บ้าน = อีกกลไกที่คอยดูแลโกดัง → มีหน้าที่ในการ (1) เอาข้อมูลที่ไม่สำคัญไปทิ้ง (2) ลดความเครียด

ตอนเราหลับ → แม่บ้านทำความสะอาด → สมอง fresh → พร้อมที่จะรับข้อมูลใหม่ในวันรุ่งขึ้น

ข้อจำกัดของการสร้าง long term memory → ไม่สามารถรับข้อมูลเข้าไปเยอะๆในทีเดียวได้

ทั้งพนักงานและแม่บ้านมีพลังงานที่จำกัด

เวลาเราอัดข้อมูลเข้าไปเยอะๆในเวลาสั้นๆ (เรียนก่อนสอบหนึ่งคืน ไปเทคคอร์สแบบเข้มข้นไม่พัก)

  • พนักงานปั้นก้อนข้อมูลไม่ทัน → ข้อมูลยังปนๆกันอยู่ไม่ได้แยกให้เสร็จระหว่างวัน

  • แม่บ้านตกใจเพราะโกดังรก → ทำความสะอาดเมื่อหมดวัน

  • ข้อมูลสำคัญถูกทิ้ง

วิธีที่ดีกว่าก็คือ การใส่ข้อมูลทีละน้อย แต่ใส่บ่อยๆ (อ่านหนังสือเป็นประจำทุกวัน ทำแบบฝึกหัดทุกวัน) เช่น แทนที่จะเรียนวันเดียว 10 ช.ม. → เราเรียน 1 ช.ม. 10 วันดีกว่า

...

Chunking = การปั้นข้อมูลให้เป็นก้อนความรู้ และนำไปเก็บไว้ในโกดัง

การจัดข้อมูลของพนักงานนั้น เรียกว่า "Chunking" → จินตนาการว่าเขาทำสองอย่างคือ

  1. ปั้นข้อมูลเป็นก้อนๆให้แยกจากข้อมูลไม่สำคัญ → กลายเป็นก้อนความรู้ (เรียกว่า chunk)

  2. เอา chunk ไปวางไว้ในโกดังให้เป็นสัดส่วน

จากนั้น เราก็จะสามารถเรียก chunk เหล่านี้มาใช้งานได้

ในการ Chunking เราต้อง

  • Focus – จดใจจดจ่อ

  • Understand – ทำความเข้าใจ

  • Recall – เรียกข้อมูลมาใช้บ่อยๆ

Focus = ต้องจดจ่อ

พาตัวเองไปอยู่ที่สงบๆ + ปิดพวก distraction ต่างๆ (ทีวี มือถือ notification เพลง ฯลฯ)

รวมพลังทั้งหมดที่มีไปที่สิ่งที่เรากำลังเรียน → เป็นการส่งสัญญาณให้พนักงานพร้อมเริ่มจัดการข้อมูล

Understand = พยายามทำความเข้าใจข้อมูล

ข้อมูลที่เราไม่เข้าใจ → ข้อมูลกระจัดกระจาย (จัดเก็บยาก)

การทำความเข้าใจ = พนักงานจัดกลุ่มข้อมูลให้ถูกต้อง → ทากาวให้เป็นก้อนเดียวกัน → นำไปจัดเก็บ → ข้อมูลพร้อมถูกนำไปใช้เป็นชุด

การทำความเข้าใจมีหลายเทคนิคมากๆ เช่น การใช้การเปรียบเปรย (analogy) เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น → อย่างบทความนี้ เราก็เอาเรื่องพนักงาน แม่บ้าน โกดัง มาอธิบายเรื่อยการทำงานของสมอง

(ยังมีเทคนิคต่างๆอีกเยอะแยะ ไว้เดี๋ยวเขียนบทความถัดๆไป)

แต่ถ้าพยายามแล้วก็ยังไม่เข้าใจ อาจลองเปลี่ยนเป็นโหมด diffuse ดู เมื่อกลับมาอีกรอบจะทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น

ถ้าเหนื่อยก็ต้องพัก (อย่าลืมว่าสมองเรารับข้อมูลใหม่ๆได้วันละไม่เยอะ)

Recall = เรียกข้อมูลมาใช้บ่อยๆ

ข้อมูลไหนถูกเรียกใช้บ่อย เราจะจำได้แม่น

เหมือนเราบอกให้พนักงานเดินไปหยิบบ่อย → พนักงานจะ (1) จำได้ว่าอยู่ตรงไหน (2) เดินไปหยิบได้เร็วขึ้นเรื่อยๆ (3) หรือไม่ก็ย้ายข้อมูลมาไว้หน้าโกดังให้หยิบง่ายขึ้น

ในทางกลับกัน ถ้าพนักงานเก็บข้อมูลไว้แล้วไม่ได้ไปหยิบใช้เลย → ก็จะลืมว่าไว้ว่ามีข้อมูลนี้ → จนสุดท้ายแม่บ้านก็เอาไปทิ้งอยู่ดี

เทคนิคการ recall ที่ง่ายๆสุดคือ เมื่อเราได้รับข้อมูลใหม่ไป ให้หลับตาแล้วพยายามนึกว่าเมื่อกี๊เรารู้อะไรมาบ้าง → จากนั้นก็เช็คว่าเราถูกมั้ย → แล้วค่อยอ่านอันถัดไป... ทำแบบนี้วนไปเรื่อยๆ ก็จะจำได้ดีขึ้น

ความ amazing คือ สมองจะจำได้แม่นขึ้นเรื่อยๆ ถ้า recall ตอนที่เรากำลังจะลืมข้อมูลนั้นๆ → เหมือนแม่บ้านกำลังจะหยิบไปทิ้ง พนักงานก็วิ่งไปบอกว่าอย่าทิ้งนะครับ! (บ่อยๆเข้าแม่บ้านก็จะไม่ทิ้งละ)

มีเทคนิคการ recall ที่เรียกว่า spaced-repetition คือดึงข้อมูลมาใช้แบบเป็นระยะๆแบบค่อยๆห่างขึ้นเรื่อยๆ (เช่น 1 อาทิตย์ → 2 → 4 → 8 ...) ซึ่งจะทำให้จำได้ดีขึ้น → ส่วนใหญ่แล้วคนจะประยุกต์ใช้กับ flash card (ไว้ค่อยเขียนในบทความถัดๆไป)

เสริมว่าการเรียกข้อมูลมาใช้สามารถทำตอนไหนก็ได้ และยิ่งหลากหลายก็จะยิ่งดี

  • ทำในหลายสถานการณ์ → ทบทวนด้วยตัวเอง / เล่าให้คนอื่นฟัง

  • ทำในหลายสถานที่ → บ้าน คาเฟ่ ที่ทำงาน

Recall บ่อยๆ = พนักงานแม่นว่าข้อมูลไหนจำเป็น + แม่บ้านรู้ว่าอะไรที่ไม่ต้องทิ้ง! → ก้อนความรู้ค่อยๆเพิ่มจนเต็มโกดัง

...

โกดังแน่น = คนฉลาด (และจะฉลาดยิ่งๆขึ้นไปอีก)

เมื่อเราสร้างก้อนความรู้ (chunk) เก็บไว้ในหัวแล้ว → มันจะ (1) เชื่อมต่อกันเองได้ และยัง (2) เชื่อมต่อกับข้อมูลใหม่ในอนาคตได้อีก

คอนเซปท์นี้เรียกว่า "Transfer" (ก้อนความรู้มันถ่ายเทไปมาได้) ซึ่งเป็นเหตุผลว่า ทำไมคนฉลาดถึง ...

  • สามารถแก้ปัญหาที่เจอได้ดี + สร้างไอเดียใหม่ๆออกมาได้

  • สามารถเข้าใจอะไรใหม่ๆได้เร็ว และสามารถเรียนทักษะใหม่ๆได้ง่าย

...

สร้างนิสัยในการเรียนรู้กันเถอะ!

จะเห็นว่าความฉลาดนั้นค่อยๆถูกสร้างอย่าง "ต่อเนื่อง" ไม่ใช่ "ปุ๊บปั๊บ" จะฉลาดได้เลย → และพอเริ่มฉลาดแล้ว ก็จะฉลาดขึ้นไปเรื่อยๆ

ดังนั้นถ้าเราอยากฉลาด เราอย่าไปฝืนเรียนอะไรยากๆหนักๆ แต่เพียงเริ่มจากอะไรเล็กๆโดยทำให้เป็นนิสัย

นิสัยที่สำคัญมี 2 อย่าง

  • ฝึกเรียนรู้เป็นประจำ

  • ดูแลสุขภาพร่างกายให้ดี

ฝึกเรียนรู้เป็นประจำ

การเรียนรู้ เป็นอะไรที่สร้าง loop ที่เสริมตัวเอง

  • เรียนรู้ → มีความรู้

  • มีความรู้ → นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน → รู้สึกสนุกและภูมิใจ

  • มีความรู้ → เข้าใจข้อมูลใหม่ๆได้ง่ายขึ้น → รู้สึกสนุกและภูมิใจ

  • รู้สึกสนุกและภูมิใจ → ยิ่งอยากเรียนรู้เพิ่ม

ความยากคือต้องบังคับตัวเอง (ในช่วงแรก) ให้เริ่มเรียนรู้เป็นประจำทุกวัน

ตอนเริ่มอาจจะเริ่มแค่ 10 นาทีก็ได้ (แต่ต้องทำให้ได้ประจำทุกวัน) → พอเริ่มทำประจำแล้วเครื่องจะเริ่มติด → จากนั้นจะเริ่มสนุกและอยากทำต่อจนเป็นนิสัยเอง

บำรุงสมองให้พร้อมเรียนรู้

มีอีก 2 ปัจจัย ที่ทำให้สมองของเราทำงานได้ดี

  • ออกกำลังกาย

  • พักผ่อน

การออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยให้เราเก็บข้อมูลเข้าสู่ long term memory ได้ดีขึ้น → เหมือนเพิ่ม buff ให้พนักงานทำงานเก่งขึ้น

การพักผ่อนให้เพียงพอ ช่วยความเครียด ความล้าในสมอง → เหมือนมีเวลาให้แม่บ้านทำความสะอาดโกดังให้เอี่ยม พนักงานก็จะทำงานง่าย

สรุป: มาสร้างโกดังความรู้กันเถอะ!

ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ ก็ปรบมือให้ตัวเอง กับ "ก้าวแรก" ของการสร้างโกดังความรู้ (คุณใช้สมองโหมด focus ได้ดีทีเดียวแหละ!)

ตอนนี้เรารู้แล้วว่าโกดังที่ดีนั้นเป็นยังไง → ขั้นต่อไปคือคิดว่าอะไรที่เราอยากเริ่มเรียน → แล้วก็เริ่มเรียนเลย

เน้นให้สร้างโกดังทุกวันอย่างต่อเนื่อง (อย่าอัดทีละเยอะๆ) → พักผ่อนและออกกำลังกายให้เพียงพอ → เราจะเริ่มสนุกกับการทำและหาสิ่งใหม่ที่เราอยากเรียนต่อไปเรื่อยๆ → จนวันนึงโกดังเราจะเต็มไปด้วยความรู้โดยไม่รู้ตัว...

หวังว่าบทความนี้จะทำให้คุณเข้าใจในกลไกสมองในการเรียนรู้ → และทำให้คุณไปเรียนรู้ได้อย่างสนุก + มีประสิทธิภาพขึ้นนะครับ!

ป.ล.

  • บทความนี้เขียนแบบ high level มากๆ (เน้นการเรียบเรียงเนื้อหาให้เข้าใจง่าย + ไม่ได้แปลมาตรงๆ)

  • อนาคตอาจเขียนพวก action / technique / tool ที่จับต้องได้มากขึ้น เช่น Pomodoro, Interleaving, Spaced repetition

References

- คอร์สเต็มๆ Learning how to learn โดย Barbara Oakley และ Dr. Terrence Sejnowski เรียนฟรี ที่ Coursera

Recent posts

วิธีใช้ subgrid เพื่อให้เนื้อหา card เรียงกันแบบสวยๆ

1 มิ.ย. 2567

วิธีใช้ subgrid เพื่อให้เนื้อหา card เรียงกันแบบสวยๆ

1 มิ.ย. 2567

วิธีใช้ subgrid เพื่อให้เนื้อหา card เรียงกันแบบสวยๆ

1 มิ.ย. 2567

คู่มือเข้าใจ Burnout: เป็นที่เรา หรือเป็นที่งาน

17 ก.พ. 2567

คู่มือเข้าใจ Burnout: เป็นที่เรา หรือเป็นที่งาน

17 ก.พ. 2567

คู่มือเข้าใจ Burnout: เป็นที่เรา หรือเป็นที่งาน

17 ก.พ. 2567

Design principle คืออะไร และช่วยทีมโปรดักอย่างไร

11 มิ.ย. 2566

Design principle คืออะไร และช่วยทีมโปรดักอย่างไร

11 มิ.ย. 2566

Design principle คืออะไร และช่วยทีมโปรดักอย่างไร

11 มิ.ย. 2566

ตั้งชื่อ Component บน Figma ยังไงให้ใช้ง่าย + วิธีจัดการ Description และ URL

17 เม.ย. 2566

ตั้งชื่อ Component บน Figma ยังไงให้ใช้ง่าย + วิธีจัดการ Description และ URL

17 เม.ย. 2566

ตั้งชื่อ Component บน Figma ยังไงให้ใช้ง่าย + วิธีจัดการ Description และ URL

17 เม.ย. 2566