ผมพึ่งได้อ่านหนังสือ "โอโมเตนาชิ (おもてなし – Omotenashi ) - จิตวิญญาณการบริการแบบญี่ปุ่น" แล้วพบว่ามีแนวคิดหลายๆอย่างที่สามารถนำมาปรับใช้กับการทำงาน (+ การใช้ชีวิตประจำวัน) ได้

ซึ่งต้องบอกก่อนว่า "จิตวิญญาณการบริการแบบญี่ปุ่น" ไม่ใช่ "การรับใช้" หรือแค่ "ได้ครับพี่ ดีครับผม" 😓
แต่เป็นแนวคิดและทัศนคติต่างๆ ที่เน้นการ "ใส่ใจ" กับงานและลูกค้า โดยมีองค์ประกอบ 4 อย่าง ที่มันเสริมพลังกันเอง
ไม่คาดหวังในสิ่งตอบแทน
เท่าเทียมกับลูกค้า
ดูแลแตกต่างไปตามลูกค้าแต่ละคน
เห็นคุณค่าในงานของตัวเอง
เรามาดูกันว่า แต่ละองค์ประกอบคืออะไร และสามารถนำไปปรับใช้กับ Product team ได้ยังไงบ้าง
…
1. ไม่คาดหวังในสิ่งตอบแทน

เหตุการณ์ในหนังสือ
พนักงานสถานีรถไฟ ช่วยกันเขียนและติดป้าย ให้กำลังใจนักเรียน ในช่วงสอบ
พนักงานขับรถ ที่คอยแนะนำนักท่องเที่ยวระหว่างทาง
พนักงานเหล่านั้น ไม่ได้ "ค่าตอบแทน" เพิ่ม และ ที่สำคัญ ไม่ได้ "คาดหวัง" ว่าจะได้ด้วย!
แนวคิดคือ ผู้ให้บริการอยากให้ลูกค้ามีความสุข และ ตัวเองก็มีความสุขกับการได้ช่วยเหลือเขาเหล่านั้น
เป็นอะไรที่ดู ideal แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ถ้าคนทำสิ่งนี้เยอะๆ ชีวิตเขาเองก็จะมีความสุข และคนรอบข้างก็จะมีความสุขไปด้วย
ลองทำในทีม – ช่วยเพื่อนในทีมแบบไม่คาดหวัง
ถ้าทุกคนในทีมต่างช่วยกันโดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน มวลรวมของทีมมันก็จะดี เป็นการสร้างพื้นที่ปลอดภัยที่ทำงานกันแบบสนิทใจ และ productive มากขึ้น
ทำงานของเราให้ดี และง่ายสำหรับคนอื่นที่จะไปทำต่อ
ช่วยงานในความรับผิดชอบของคนอื่นบ้าง
ใส่ใจ ถามไถ่ ช่วยเหลือ สิ่งอื่นๆที่อาจนอกเหนือจากงาน (เท่าที่ทำได้)
…
2. เท่าเทียมกับลูกค้า

เหตุการณ์ในหนังสือ
โรงพยาบาลกายภาพบำบัด ที่ให้ลูกค้าทำกิจกรรมต่างๆด้วยตัวเองเป็นส่วนใหญ่ แทนที่จะคอยบริการ (เพื่อจะได้หายไวขึ้น)
ร้านกาแฟ ที่ถามเพิ่มเติมว่าชอบทานหวานไหม และแนะนำสิ่งอื่นที่ไม่ได้สั่งให้แทน
ร้านกิโมโน ที่ไม่ขายของตัวเอง แต่แนะนำร้านอื่นที่เหมาะกับลูกค้ามากกว่า
ตัวแทนประกัน ที่ปฏิเสธลูกค้า ถ้าประกันที่ขายไม่เหมาะกับลูกค้า
แนวคิดคือ ผู้ให้บริการจะรู้ในสิ่งที่ตัวเองทำมากกว่าลูกค้าอยู่แล้ว จึงมีหน้าที่ทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้า และแนะนำสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกค้า ไม่ใช่แค่ทำตามที่ลูกค้าสั่ง
ลองทำในทีม – พูดเต็มที่ ทุกตำแหน่งเท่าเทียมกัน
ปกติแล้ว Product manager จะเป็น decision maker ของทีม ทำให้สมาชิกทีมบางคนอาจจะทำตามสั่งเลยโดยไม่ทักท้วงอะไร
แต่ด้วยตำแหน่งในทีมมีความสามารถที่แตกต่างกัน ดังนั้นทุกคนควรจะคุยกันได้อย่างเท่าเทียม เพื่อทำให้งานออกมาได้ดีที่สุด
PM เก่งเรื่อง Business
Designer เก่งเรื่อง Experience
Developer เก่งเรื่อง Engineering
QA เก่งเรื่อง edge cases ต่างๆ
นอกจากทุกคนควรให้ความเห็นในสิ่งที่ตัวเองถนัดออกมา ทุกคนยังควรจะตั้งคำถามและ challenge ในไอเดียของกันและกันด้วย เพื่อให้งานออกมาได้ดีที่สุด
การที่ทุกคนออกความเห็นแบบเท่าเทียม ทำให้ PM มีข้อมูลที่เพียงพอ และนำไปสู่การตัดสินใจที่ดี
…
3. ดูแลแตกต่างไปตามลูกค้าแต่ละคน

หนังสือยกตัวอย่างเหตุการณ์
ร้านซูชิที่คอยสังเกตสีหน้าของผู้ทาน และปรับซูชิให้เหมาะกับผู้ทานเสมอ (portion การถอดเปลือกกุ้ง ฯลฯ)
แอร์โฮสเตสที่สังเกตเห็นว่าผู้โดยสารท่านนึงดูเศร้า จึงเขียนโน้ตให้กำลังใจ ใส่ซองไปพร้อมกับลูกอม
แนวคิดคือ ผู้ให้บริการสามารถสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้ ด้วยการสังเกตและทำเพิ่มเติมให้เหมาะกับลูกค้าและสถานการณ์นั้นๆ
ลองทำในทีม – เติมเต็มความไม่สมบูรณ์แบบของกันและกัน
ทุกคนใน team มีความรู้ความสามารถที่ต่างกัน เราควรจะเข้าใจความต้องการของคนในทีม และปรับงานของเราให้เหมาะกับทีมของเรา
เช่น developer บางคนจะเข้าใจในเรื่องความสวยงามของ UI ในขณะที่บางคนจะไม่เข้าใจเลย
ในกรณีนี้ หาก designer จะทำงานกับ dev ที่ไม่เข้าใจ UI → อาจจะคุยกันว่าสามารถทำอะไรเพื่อช่วยกันได้บ้าง เช่น ต้องทำ Mockup ที่มีความละเอียดขึ้น (เช่นมีการบอกสี และขนาดที่ชัดเจน) หรือเพิ่มการสื่อสารให้มากขึ้น
การที่เราคอยปรับงานของเราให้เข้ากับทีม จะทำให้ทีมเราทำงานด้วยกันเร็วและมีประสิทธิภาพขึ้น และเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้แก่กันด้วย
4. เห็นคุณค่าในงานของตัวเอง

หนังสือยกตัวอย่าง
แอร์โฮสเตสที่คิดอยู่เสมอว่า เขากำลังส่งคนกลับบ้าน
วินมอเตอร์ไซค์ที่ขับรถอย่างสุภาพ เพราะคิดอยู่เสมอว่า ผู้โดยสารฝากชีวิตไว้กับเขา
ตัวผู้เขียนเอง ที่คิดอยู่เสมอว่า กำลังเปลี่ยนชีวิตของผู้คนผ่านตัวหนังสือ
แนวคิดคือ มุมมองต่องานที่เราทำ มีคุณค่าต่อใจในการทำงานของเรามาก ซึ่งจะแสดงออกมาให้เห็นในงานบริการนั่นเอง
ลองทำในทีม: มอง impact ขอ product ที่เราสร้าง
บางครั้งพอเราทำๆงานไป เราอาจจะโฟกัสที่ deliverable ไปแบบขอไปที (เช่น Sprint นี้เรา deliver 5 features, sprint ถัดไปเดี๋ยวทำอีก 3 features) จนเราไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่เราทำ
เพื่อทุกคนเห็นคุณค่าของงานตัวเองมากขึ้น
ทีมอาจจะลองขอลูกค้าจริงมาสัมภาษณ์ และใช้งานฟีเจอร์เหล่านั้นให้ดู → เห็นว่างานของเราทำให้ชีวิตของลูกค้าดีขึ้นมั้ย
ทีมอาจหา measurement ต่างๆมาเสริมอีก → เห็นว่างานของเราทำให้ business เราดีขึ้นมั้ย
ถ้าทีมเห็น impact ที่ตัวเองสร้าง การทำงานในแต่ละวันก็จะทั้ง "มีความหมาย" และ "สนุกสนาน" ขึ้น
…
สรุป: ลองนำ โอโมเตนาชิ มาสร้างประสิทธิภาพและความสัมพันธ์ใน product team ดูสิ
หลักการ โอโมเตนาชิ ทำให้มุมมองของการบริการที่ผมเข้าใจเปลี่ยนไป จากการที่เข้าใจว่า งานบริการคือการทำหน้าที่ "รับใช้" เป็นหน้าที่ "เท่าเทียมและหวังดีกับลูกค้า"
ไม่คาดหวังในสิ่งตอบแทน
เท่าเทียมกับลูกค้า
ดูแลแตกต่างไปตามลูกค้าแต่ละคน
เห็นคุณค่าในงานของตัวเอง
สำหรับ product team แทนที่จะทำงาน "ตามหน้าที่" มันอาจจะเป็นการ
ไม่คาดหวังในตัวเพื่อนร่วมงาน แต่ช่วยพัฒนากันและกัน
เท่าเทียมกันทุกตำแหน่ง
ปรับการทำงานให้เหมาะกับแต่ละ team member และ stakeholder
เห็นคุณค่าในสิ่งที่เรากำลังสร้างอยู่
ลองปรับมุมมองนิดๆ ชีวิตการทำงาน product team ของเราอาจจะสนุกขึ้นเป็นทวีคูณครับ!
…
ป.ล.
ถ้าชอบบทความนี้ เชียร์ให้ไปหาอ่านต้นฉบับจริงๆ เพราะยังมีเนื้อหาที่มีประโยชน์(และใจฟู) อีกมากมายเลยที่ยังไม่ได้พูดถึง → โอโมเตนาชิ – Omotenashi – จิตวิญญาณการบริการแบบญี่ปุ่น โดย ดร.กฤตินี พงษ์ธนเลิศ







