ผมสรุปหนังสือเล่มนี้เพราะอยากให้ "ทุกคนได้ทำงานที่ตัวเองรักอย่างประสบความสำเร็จ"

ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือ Start-up of you ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับการใช้ mindset แบบ startup ในการทำงาน โดยมองว่าชีวิตของเราเป็นเหมือนบริษัท Start-up ที่จะต้องคอยปรับตัวเพื่อให้ตัวเองประสบความสำเร็จในการงานได้
โดยส่วนตัวมองว่าเป็นหนังสือที่เหมาะกับทุกคนที่ยังต้องทำงาน โดยเฉพาะกับคนที่มีสิ่งที่รักและอยากทำ แต่ยังไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ เช่น
คนอยากขึ้นตำแหน่งสูงขึ้น แต่ยังทำไม่ได้
คนที่อยากเปลี่ยนสายงาน แต่ยังลังเล
เด็กที่พึ่งจบใหม่ แต่ยังหางานไม่ได้
ผมเคยเป็นคนๆนั้นที่ลังเลที่จะเริ่มทำสิ่งที่ตัวเองรัก (เปลี่ยนอาชีพมาเป็นดีไซน์เนอร์) แต่พอทำได้แล้วก็มองว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต
ผมก็เลยตัดสินใจสรุปกึ่งเรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ (มีการใช้ภาษาหรือความเข้าใจของตัวเองบ้าง) ให้เหมาะกับบริบทของคนที่อยากทำตามหาหัวใจตัวเอง ผมหวังว่าจะมีประโยชน์กับทุกคนนะครับ
หมายเหตุ ผมอ่านเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษมา ชื่อว่า Start-up of You : Adapt, Take Risks, Grow Your Network, and Transform Your Life (1/06/2022 เข้าใจว่ายังไม่มีภาษาไทย ถ้าใครรู้ช่วยบอกผมด้วยนะครับ)
ถ้าพร้อมแล้ว เรามาเริ่มกันเลย!
...
ถ้าจะทำสิ่งที่ตัวเองรัก ต้องยอมรับในการเป็น permanet beta

Permanent = ตลอดไป
Beta = เวอร์ชั่นของซอฟท์แวร์ที่ถูกปล่อยออกเพื่อการทดสอบ (และนำผลลัพธ์ไปพัฒนา) ก่อนที่จะ release จริง
Permanent beta คือ การมองว่า
เราเป็นซอฟท์แวร์ตัวหนึ่งที่สามารถอัพเกรดได้เรื่อยๆ
อะไรต่างๆที่เราทำ ถือเป็นการทดลองกับโลกภายนอก เพื่อให้ได้ feedback
ทุกครั้งที่มี feedback เราก็กลับมาพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น
พัฒนาตัวเองเสร็จ ก็ออกไปทดลองอีก (วนไป)
จะว่าไป มันก็คือ growth mindeset + continous improvement น่ะแหละ (แค่คำมันเฉพาะกว่าสำหรับ start-up)
อย่างที่รู้กันว่า การทำสิ่งที่ตัวเองรัก (ให้ประสบความสำเร็จ) ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เราจะต้องมีการปรับตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (ถ้ามันง่าย คงไม่มีใครมาบ่นว่าเบื่องานตัวเองกันหรอก!)
...
จะประสบความเร็จได้ ต้องหาตรงกลางของ หัวใจ–แต้มต่อ–ตลาด ให้เจอ

ต้องบอกไว้ก่อนว่า ถึงแม้ผมจะยุให้ทุกคนทำสิ่งที่ตัวเองรัก แต่มันไม่ได้ (1) ง่าย (2) การันตีว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จ
คนที่ประสบความสำเร็จได้ คือ คนที่หาทางคลิกกันของ 3 ปัจจัยเจอ ได้แก่
❤️ หัวใจ – สิ่งที่เราอยากทำ อยากเป็น สิ่งที่มีคุณค่ากับเรา
✊ แต้มต่อ – สิ่งที่เรามีเพื่อทำในสิ่งที่ใจเราต้องการ เช่น ความรู้ ทักษะ เงิน connections ผลงาน ฯลฯ
💰 ตลาด – ความสนใจของคนอื่นต่อสิ่งที่เราอยากทำ คือ จะมีคนจ่ายเงินให้เรามั้ย
คนที่ได้ทำในสิ่งลงตัวทั้ง 3 ปัจจัย จะทำงานได้แบบติดลมบน (มีความสุขทุกวัน → เก่งขึ้นเรื่อยๆ → มีเงินเข้ามา → .... วนไป)
ตัวอย่าง: มีหัวใจ ❤️ → สร้างแต้มต่อ ✊ + หาตลาด 💰
ปี 2020 ผมทำงานอยู่ในบริษัท consult เป็น Business analyst แต่ผมรู้ตัวว่าผมชอบดีไซน์และการเขียนโค้ดมาก(❤️) จึงพยาพยามพัฒนาทักษะและหาโปรเจคเสริมทำ (✊) + ลองหาวิถีทางต่างๆ ให้เราได้ทำสิ่งที่เราชอบ (💰) เช่น คุยกับ staffing team เพื่อเปลี่ยนโปรเจค, ขอลดเงินเดือนเพื่อเปลี่ยนตำแหน่ง, ลองทักคนรู้จักเพื่อหางาน, สมัครงานที่อื่นๆ ... หลังจากทำอยู่ประมาณปีครึ่งก็ได้งานใหม่ในที่สุด
ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยแต่สนุก (ผมเลือกที่จะทำงานเดิมไปด้วย) แต่ก็รอดมาได้แม้จะมีบางครั้งที่ท้อ เพราะเรามองออกว่าสิ่งที่รอเราอยู่ไกลๆ มันคุ้มค่า
...
เตรียมแผนที่ครอบคลุมไว้กับตัวอยู่เสมอ เพื่อรอรับการเปลี่ยนแปลง

เราและโลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา (ความชอบเปลี่ยน มีแนวคิดใหม่ๆ การเมืองเปลี่ยน เทคโนโลยีเปลี่ยน) ซึ่งเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย
ข้อดีคืออาจจะเกิดโอกาสใหม่ๆที่ไม่มีมาก่อน ข้อเสียคือมันอาจจะทำลายสิ่งเดิมๆที่เราเคยทำมา
ดังนั้นเราต้องวางแผนให้ครอบคลุม วิธีที่หนังสือแนะนำคือการวางแผนแบบ ABC
Plan A – สิ่งที่เราทำอยู่ในปัจจุบัน
Plan B – สิ่งที่เราอยากจะทำ เมื่อสิ่งที่เราทำอยู่ปัจจุบันมันไม่เวิร์ค (หรือโอกาสใหม่ๆที่ดีกว่า)
Plan Z: fall back - ถ้าทุกอย่างพังทลาย เราสามารถมาทำสิ่งนี้ได้
โดยเราสามารถมีหลายๆ Plan A, B หรือ Z ได้ ตราบเท่าที่เราวางแผนให้มันสอดคล้องกับสิ่งที่เราอยากทำ
การมีแผนทำให้เราเดินหน้าได้อย่างอุ่นใจ เมื่อเห็นโอกาสที่ดีเข้ามาเราก็เจอพร้อมไป หรือเมื่อมีสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาก็จะไม่กระทบเรามาก
ตัวอย่าง: มีแผนในใจเสมอ
ปี 2013 ผมไปเรียนที่ต่างประเทศ โดยผมทำงานร้านอาหารไปด้วยเยอะมาก (Plan A) เพื่อเป็นลดค่าใช้จ่าย ในขณะเดียวกันก็พยาพยามเปลี่ยนงานเป็นพนักงานที่มหาวิทยาลัย (Plan B) เพื่อเพิ่มทักษะการพูดภาษาอังกฤษและมีเวลามากขึ้น โดยในใจรู้ว่าถ้าทุกอย่างไม่รอดจริงๆก็จะขอเงินพ่อแม่ 🥲 หรือกลับไทยมาทำงาน (Plan Z)
การวางแผนแบบนี้ทำให้ผมรู้สึก secure ในการใช้ชีวิตขึ้นมาก
...
คุยกับคนอื่น (เรื่องงานของเรา) บ้าง เพื่อสร้าง professional network (เครือข่ายการทำงาน)

เราอยู่ในโลกที่ต้องมีการปฏิสัมพันธ์กัน ทั้งทางตรงหรือทางอ้อม และการมีปฏิสัมพันธ์กันก็จะนำมาซึ่งหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็น
โอกาสในการได้งาน: เช่น job opening ต่างๆ หรือ ลูกค้าที่อยากจะจ้างเรา
โอกาสในการพัฒนาตัวเอง: เช่น การคุยกับคนที่อยู่ใน position ที่เราอยากเป็น จะทำให้เราได้เรียนรู้วิธีการจากเขา
เราควรจะคุยกับคนรอบข้างเกี่ยวกับงานและความสนใจของเราบ้าง เพื่อสร้าง professional network (เครือข่ายการทำงาน) ที่จะช่วยสนับสนุนกันและกัน
โดยมักจะมีคนในเครือข่าย 3 ประเภท
คนทำงานแนวเดียวกับเรา คือ เพื่อนที่เราเชื่อในตัวเขา (ในด้านของ ทักษะ มุมมอง การตัดสินใจ) ที่คอยให้คำปรึกษา ให้กำลังใจกันและกัน และพัฒนาไปด้วยกัน
คนที่ทำงานต่างจากเรา คือ เพื่อน (อาจจะห่างๆ) ที่มักมีทักษะที่ต่าง หรือ อยู่ในอุตสาหกรรมที่ต่างจากเรา ที่จะมาช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับเรา (ทั้งมุมมองและโอกาสใหม่ๆ)
ผู้ติดตาม คือ เพื่อน (และคนอื่นๆ) ที่ตามเราบน social media หรือช่องทางต่างๆ โดยที่เขาชอบผลงานหรือแนวคิดของเรา ที่เราสามารถจัดกลุ่มกันเพื่อสนับสนุนกันได้
การที่เราคุยกับคนอื่นและสร้างเครือข่ายของตัวเองขึ้นมา จะทำให้เรามีทั้งแรงสนับสนุนและมุมมองใหม่ๆ
อย่าลืมว่าเครือข่ายก็คือความสัมพันธ์นั่นแหละ ดังนั้นเราต้องอยู่บนพื้นฐานของความจริงใจ (เหมือนกับความสัมพันธ์ในทุกๆรูปแบบน่ะแหละ!) ที่สำคัญคือ เป็นทั้งผู้ให้ (อยู่เสมอ) และผู้รับ (เมื่อจำเป็น)
ตัวอย่าง: ปรึกษาคนอื่นจนเราได้ดี
ในปี 2019 ในขณะที่ผมเป็น business analyst ที่อยากเปลี่ยนงานเป็น designer นั้น ผมได้มีโอกาสลงโปรเจคกับพี่คนนึงที่เป็น Seinor designer ที่สำคัญคือ เขาเปลี่ยนงานจาก Product owner มาเป็น UX ด้วย!
จากวันนั้นที่เจอ เขาเป็นหนึ่งคนที่ผมขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนงาน และแม้ตอนนี้จะได้เป็น designer สมใจแล้ว ผมก็ยังขอคำแนะนำจากเขาบ่อยๆเกี่ยวกับการทำงานในตำแหน่งที่เริ่มสูงขึ้น
ป.ล. ตอนนี้เค้าเป็นระดับ Head ไปแล้ว
...
ปรับพฤติกรรมเพื่อสร้างความ โชคดี ให้ตัวเอง

หลายๆคนน่าจะมีประสบการณ์ที่อยู่ๆตัวเองก็ "โชคดี"
อยู่ๆก็มีคน offer งานให้
อยู่ๆก็ได้เพื่อนตอนไปงาน conference
อยู่ๆก็ได้เจอกับเพื่อใหม่ในที่ทำงาน ที่กลายมาเป็นคนคอยให้คำปรึกษาจนเปลี่ยนชีวิตเรา
ที่จริงแล้วพื้นฐานของความโชคดีนั้น เกิดจาก "พฤติกรรม" ของเรา ที่คอยสร้าง "โอกาส" ให้ตัวเอง
คอยสงสัยและสังเกตสิ่งรอบข้าง
ลองทำอะไรแบบ random (ทำวิธีใหม่ๆ คุยกับคนใหม่ๆ ลองอะไรแปลกๆ ฯลฯ)
ลองร่วมกลุ่ม หรือ สมาคมต่างๆ ให้เจอคนเยอะขึ้น
พฤติกรรมที่เหมาะสม → โอกาสที่เข้ามากมากขึ้น → รู้สึกว่าโชคดีเพราะเจอโอกาสที่ใช่กับตัวเอง
ตัวอย่าง: ได้งานเพราะนั่งกินข้าวแกง
ปี 2019 ผมได้รู้จักพี่คนหนึ่งผ่านการทำงาน ผมเป็น consult บริษัท A ส่วนพี่เขาเป็น consult บริษัท B
บังเอิญเราเข้าไปกินข้าวแกงร้านเดียวกันตอนพักเที่ยง ผมคุยกับเขาว่าผมอยากทำดีไซน์นะ (แม้ตอนนั้นจะเป็น business analyst อยู่) ปรากฏว่าเขากำลังจะไปเป็นสอนมหาวิทยาลัยในวิชา interactive design พอดี ผมจึงขอเขาไปช่วยสอนด้วย ซึ่งพี่เค้าใจดีมากและให้โอกาสผมไปสอนด้วยกัน
นั่นเป็นก้าวเล็กๆที่ทำให้เข้าใกล้การเป็นดีไซน์เนอร์มากขึ้น และในอีกประมาณปีกว่าๆพี่เขาก็สร้างทีมใหม่ และชวนผมไปเริ่มทำงานกับเขา ในฐานะดีไซน์เนอร์เต็มตัว
โชคดีที่ชีวิตนี้ผมได้เจอพี่เขาจริงๆครับ
...
เข้าใจความเสี่ยง เพื่อสร้างโอกาส

ความเสี่ยงมักจะมาพร้อมกับโอกาสที่ก้าวกระโดดเสมอ ดังนั้นถ้าไม่เสี่ยงเลย อาจจะทำให้เราไม่ทันคว้าโอกาสต่างๆ จนกระทั่งเราช้าเกินไปจนตามโลกไม่ทัน
ไม่ได้แปลว่าเราควรเสี่ยงแบบไม่บันยะบันยัง แต่หมายถึงเราควรทำความเข้าใจธรรมชาติของความเสี่ยงให้ดีกว่านี้ เพื่อที่เราจะจัดการมันให้ได้
ความเสี่ยง subjective - สิ่งที่เรามองว่าเสี่ยง คนอื่นอาจจะไม่เสี่ยงก็ได้ หรือกลับกันก็ได้
ความเสี่ยง dynamic - ทุกอย่างเปลี่ยนอยู่เสมอและขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เมื่อเวลาผ่านไปเสี่ยงอาจกลายเป็นไม่เสี่ยงหรือกลับกันก็ได้
ทุกครั้งที่รู้สึกเสี่ยงให้
ทบทวน จุดประสงค์ มองภาพรวมและภาพไกล เพราะเราจะทนความเสี่ยงความผิดพลาดได้มากขึ้น เมื่อเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน
ดูว่าเสี่ยงจริงมั้ย โดยลองมองจากมุมคนอื่น หรือปรึกษาคนอื่นๆดู
คิดว่าถ้าเราทำไปแล้วมันพัง อะไรคือสิ่งที่ร้ายแรงที่สุดที่จะเกิดขึ้นได้ (ปัจจัยอาจจะขึ้นอยู่กับ อายุ เงิน ภาระ ฯลฯ ด้วย)
ถ้าเราคิดรอบครอบแล้วว่า เสี่ยงแล้วได้มากกว่าเสีย ถึงเสียก็ยังไม่เจ็บมาก เราก็ลงมือด้วยความมั่นใจได้เลย!
ตัวอย่าง: ทิ้งวุฒิวิศวะที่เรียนมา ไปตายเอาดาบหน้าที่ต่างประเทศ
ในปี 2012 ผมที่พึ่งเรียนจบวิศวะตัดสินใจทิ้ง offer งาน แล้วไปหาเรียน animation ที่ต่างประเทศ
นับเป็นการตัดสินใจที่ทะเล่อทะล่าสุดในชีวิต ซึ่งสิ่งที่ยอมรับในหัวตอนนั้นคือ
เรากำลังทิ้งเงินและเวลาก้อนใหญ่ไปนะ (ค่าเทอมที่พ่อแม่จ่าย + เวลา 4 ปี + เงินเดือนที่กำลังจะได้)
เรากำลังทิ้งโอกาสการงานที่มั่นคงไปนะ (offer จากบริษัทใหญ่ที่มี structure และพร้อมปั้นเด็กจบใหม่)
เราต้องฝึกฝนหนักกว่าชาวบ้านนะ (เพราะพื้นฐานแทบไม่มี)
เราต้องทำงานเสริมเพื่อหาเงินขณะเรียนด้วยนะ (เพื่อแบ่งเบาภาระพ่อแม่)
แต่ถ้าไปไม่รอดจริงๆ เราจะกลับมาทำงานที่ไทย
พอตัดคิดดีแล้ว ผมก็ออกไปสมบุกสมบันเป็นเวลา 7 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สนุกและหล่อหลอมให้กลายเป็นตัวเองในทุกวันนี้
"ทำตามฝัน" อาจจะดูเอาแต่ใจและเปราะบางเอามากๆ แต่การ "ทำตามฝันโดยไตร่ตรองก่อน" มันทำให้เรามั่นใจและมั่นคงมากๆ
...
แลกเปลี่ยนความรู้กับคนรอบข้างอยู่เสมอ

ความรู้เป็นสิ่งที่ดิ้นดุ๊กดิ๊ก
บางอย่างเราไม่รู้
บางอย่างเรารู้คิดว่าเรารู้ แต่เข้าใจผิด
บางอย่างเรารู้จริง เข้าใจถูก แต่พอเวลาผ่านไป โลกเปลี่ยน กลายเป็นสิ่งที่เราเข้าใจมันผิด
บางอย่างเรารู้จริง แต่โลกเปลี่ยนไป กลายเป็นความรู้ที่ตกยุคและไม่มีประโยชน์อีกต่อไป
นอกจากหาความรู้ด้วยตัวเองแล้ว การแลกเปลี่ยนความรู้กับคนรอบข้างของเราก็เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากๆ เพราะ
หลายๆคนเก่งเงียบ ถ้าเราไม่ได้ไปถามก็อาจจะไม่รู้เลย
คนเหล่านั้นกรองข้อมูลมาระดับหนึ่งแล้ว เราไม่ต้องไปหาใหม่เอง
บางคนเข้าใจเราดี และ/หรือ เข้าใจในสถานการณ์ของเรา เราก็จะได้ข้อมูลที่เฉพาะกับเราเลย
ซึ่งคนรอบข้างที่เราควรขอความรู้นั้น มีอยู่ 3 กลุ่มใหญ่ๆ
Domain expert – ความรู้เฉพาะทาง คือ ผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ เช่น คนนี้เป็นดีไซน์เนอร์ที่เก่งเรื่องการทำ UI มากๆ คนเหล่านี้จะช่วยให้เราทำสิ่งที่เราอยากทำได้อย่างรวดเร็ว
"You" expert – ความรู้เฉพาะคุณ คือ คนที่เข้าใจเรามากๆ เช่น คนใกล้ตัวที่เข้าใจอุปนิสัย แนวคิด ของเรา คนเหล่านี้จะทำให้เราเข้าใจตัวเองและโอกาสที่เข้ามามากขึ้น
Free-range experts – คนที่เราเชื่อใจว่าเขารอบรู้และเราชอบแนวคิดเขา คนเหล่านี้มักจะช่วยเราวิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆได้ดี ทำให้เราเห็นมุมมองที่กว้างขึ้น
ตัวอย่าง: แม้จะชอบหาความรู้เอง แต่ก็แลกเปลี่ยนกับคนอื่นบ้าง
ด้วยความเป็น introvert ผมชอบที่จะหาความรู้ด้วยตัวเองมาตั้งแต่เด็ก เพราะว่าจะทำตอนไหนก็ได้ และใช้เวลาได้เต็มที่ แต่พอผมทำงานที่ต้องร่วมมือกันเพื่อนร่วมงานมากขึ้น ผมก็เริ่มที่จะเรียนรู้ผ่านการแลกเปลี่ยนกับคนอื่นบ้าง
ผมพบว่าวิธีการเรียนรู้ทั้ง 2 แบบ มีประโยชน์ทั้งคู่ โดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์
หาความรู้เอง – ทำเวลาไหนก็ได้ / รู้ให้ลึกเพื่อเข้าใจ ฝึกให้ทำเป็น
แลกเปลี่ยนความรู้ – ต้องหาเวลาที่ว่างทั้งคู่ / รู้ให้เห็นมุมมอง รู้ให้เห็นความเป็นไปได้ รู้เพื่อแก้ปัญหาที่เฉพาะเจาะจง / ที่สำคัญคือสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
ปัจจุบันพบว่ารู้ด้วยตัวเองสัก 70% ถามคนอื่นสัก 30% คือสัดส่วนที่กำลังดีของผม
...
สรุป
การทำสิ่งที่เรารักให้ประสบความสำเร็จได้ เราทุกคนต้องปรับตัวไปเรื่อยๆ
ปรับหาตรงกลางของ หัวใจ–แต้มต่อ–ตลาด อยู่เสมอ
วางแผนให้ชัดเจน โดยมี Plan A (ที่ทำอยู่ในปัจจุบัน) Plan B (opportunity ใหม่ๆ หรือ สิ่งที่ต่อยอดจาก A ได้) และ Plan Z (แผนสำรอง ถ้าทุกอย่างพังทลาย)
สร้างเครือข่ายเพื่อให้เห็นโอกาสมากขึ้น และแลกเปลี่ยนความรู้กับคนเหล่านั้นอยู่เสมอ
เสี่ยงบ้าง แต่ต้องบริหารความเสี่ยงให้ดี ไม่อย่างนั้นเราจะพลาดโอกาสเติบโตเยอะมาก
อ่านสรุปจบแล้วยังไงต่อ
เริ่มวางแผนการทำงานของตัวเอง อะไรคือก้าวต่อไปที่เราอยากทำ
บอกคนรอบตัวสัก 1 คนที่เราไว้ใจ และลองขอคำแนะนำจากเขาดู
ลองซื้อฉบับจริงมาอ่านดูนะครับ: Start-up of You : Adapt, Take Risks, Grow Your Network, and Transform Your Life
ขอให้มีความสุขกับการทำในสิ่งที่ตัวเองรักนะครับ ❤️







